โกลด มอแน หรือ อ็อสการ์-โกลด มอแน (Oscar-Claude Monet; เกิดที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2383 (รัชสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) และเป็นบุตรคนที่สองของพ่อค้าขายของชำ เมื่อธุรกิจตกต่ำ ครอบครัว Monet ได้อพยพไปอยู่ที่ Le Havre ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลในแคว้น Normandie เด็กชาย Monet วัย 5 ขวบเริ่มสนใจธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศริมทะเล และทดลองวาดภาพล้อเลียนครู กับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เมื่อได้มีโอกาสพบปะ Eugene Boudin จิตรกรผู้ชอบวาดภาพทะเล Monet จึงเริ่มชอบวาดภาพทิวทัศน์บ้าง และได้นำภาพออกฝากขาย โดยขอติดในกรอบภาพที่วางขายตามร้านทำกรอบรูป ทำให้มีรายได้เล็กน้อย
เมื่ออายุได้ 19 ปี Monet เข้าเรียนศิลปะที่ Atelier Suisse ซึ่งเป็นสถาบันที่ Gustave Courbet เคยทำงาน และเริ่มรู้จักผลงานของ Courbet, Delacroix กับจิตรกรคนอื่น ๆ แห่งสำนัก Barbizon แต่ก็ถูกบิดาเรียกตัวกลับบ้าน เพราะถึงวัยต้องรับราชการทหาร และชีวิตของ Monet ในฐานะจิตรกรยังไม่ประสบความสำเร็จเลย
Monet ถูกส่งไปประจำการที่ Algeria และล้มป่วยหนักจนบิดาต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อนำลูกชายกลับบ้านก่อนหมดเวลาเกณฑ์ทหาร Monet จึงกลับมาทำงานศิลปะที่บ้าน และได้ขอร้องบิดาให้ส่งตนไปเรียนศิลปะที่ปารีส ที่ Ecole des Beaux – Arts ทำให้มีโอกาสรู้จัก Bazille, Manet, Renoir และ Sisley จิตรกรหนุ่มเหล่านี้ได้เริ่มตั้งวงสนทนาศิลปะ และวาดภาพต้นไม้ในป่า Fontainbleau ที่ Chailly เพื่อนำออกขาย แต่ Monet ขายภาพทิวทัศน์ยามเช้าของเขาไม่ได้เลย ทำให้มีปัญหาการเงิน Bazille จึงให้ยืมเงินและให้สตูดิโอทำงานด้วย Monet ได้วาดภาพปากแม่น้ำ Seine 2 ภาพ
“บนฝั่งแม่น้ำเซน, เบเนคอรท์ (On the Bank of the Seine, Bennecourt)” (ค.ศ. 1868)
“ลุ่มแม่น้ำเซนกับอาร์ฌ็องเตย” (Seine Basin with Argenteuil) – ค.ศ. 1875,
พิพิธภัณฑ์ดอร์เซ, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียง เพราะผู้คนสับสนชื่อของ Monet กับจิตรกร Edourd Manet แต่เมื่อ Monet วาดภาพเหมือนของ Camille Doncieux ผู้เป็นชู้ของตน ภาพที่มีชีวิตชีวานี้ทำให้ Emile Zola นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงชื่นชม ชื่อเสียงของ Monet วัย 26 ปี ก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น และมีผลทำให้บิดามารดาหันมาให้เงินสนับสนุนบุตรชายอีก
“ผู้หญิงในสวน” (Woman in a Garden) – ค.ศ. 1867, พิพิธภัณฑ์เฮอร์มืทาจ, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
“ผู้หญิงกางร่ม” (Woman with a Parasol) – ค.ศ. 1867,
พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ, วอชิงตัน ดี.ซี., สหรัฐอเมริกา
ในการวาดภาพกรุงปารีส Monet ใช้เทคนิควาด Impressionism ซึ่งเป็นสไตล์หนึ่งของการเขียนภาพที่สร้างอารมณ์ โดยใช้สีมากกว่าที่จะแสดงรายละเอียดของสิ่งที่วาด และใช้จินตนาการถ่ายทอดออกมาจากความประทับใจในสิ่งที่เห็นครั้งแรกอย่างทันทีทันใด ด้วยการใช้แปรงที่สั่นไหว ส่วนภาพ Women in Garden นั้น Monet วาดแสงแดดอันแจ่มใสในสวนดอกไม้ เทคนิคการวาดแสดงให้เห็นเปลวแดดที่ระยิบระยับบนเสื้อผ้าของหญิงสาวแต่ภาพที่สูง 8 ฟุตนี้ ถูกคัดออกจากการประกวดศิลปะระดับชาติ ทำให้ Monet ตกภาวะลำบากอีก จน Bazille ตัดสินใจซื้อภาพไปในราคา 2,500 ฟรังก์ แต่ไม่จ่ายหมดทันที คือ จ่ายผ่อนให้เดือนละ 50 ฟรังก์ เพื่อให้ Monet สามารถดำรงชีพอยู่ได้
ในปี 2410 Camille ให้กำเนิดบุตรชายชื่อ Jean Monet และครอบครัวเริ่มลำบากอีกเพราะขาดเงิน Monet วัย 27 ปี คิดจะฆ่าตัวตายเมื่อไม่มีเงินจะซื้อสี จนต้องยืมเงินชาวบ้าน การได้พบปะกับเพื่อนจิตรกร เช่น Sissley, Pissaro, Renoir บ้าง ทำให้ Monet มีกำลังใจทำงานวาดภาพต่อไป
เมื่อเกิดสงคราม Franco – Prussian ขณะนั้น Monet อายุ 30 ปี และได้เข้าพิธีสมรสกับ Camille แล้วอพยพไป London และได้เห็นผลงานของจิตรกรอังกฤษที่มีชื่อเสียง เช่น Constables กับ Turner เมื่อสงครามสงบ Monet เดินทางกลับฝรั่งเศส และจัดตั้งสตูดิโอที่ Argenteuil ใกล้กรุงปารีส เพราะที่นั่นวิวสวย และมีแม่น้ำ Seine ไหลผ่าน
Monet นำภาพ Impression : Sunrise ออกแสดงที่ปารีสในปี 2417 แต่ภาพที่แสดงแม่น้ำกว้าง เมฆขาวลอย ฟ้าใส แดดจ้าที่ชายฝั่งตัดกับทะเลสีครามนี้ไม่เป็นที่พอใจของใคร เพราะคนชอบภาพยังไม่เข้าใจ วิญญาณของศิลปะประเภท Impressionism ชีวิตของ Monet จึงลำบากเหมือนเดิม และก็ได้รับการช่วยเหลือจาก Manet บ้าง ความต้องการเงินอย่างรุนแรง ทำให้ Monet ขวนขวายนำเสนอภาพที่ Salon อีก และเมื่อภาพได้รับการตอบรับให้นำแสดงได้ การยอมรับในความสามารถก็เริ่มปรากฏ ฐานะของ Monet เริ่มดีขึ้น ๆ แต่เมื่อถูก Edgar Degas กล่าวหาว่า Monet ให้สินบนเจ้าหน้าที่ที่ Salon Monet รู้สึกผิดหวังมาก จึงนำผลงานไปแสดงที่ London ที่ Brussels และที่ New York
ในบั้นปลายของชีวิต Monet ใช้ชีวิตเยี่ยงมหาเศรษฐี เพราะเป็นจิตรกรที่ได้รับการยอมรับ เขาทำงานหลายที่ แต่ส่วนใหญ่ที่ Paris และได้แต่งงานใหม่กับ Ernest Hoschede หลังจากที่ Camille เสียชีวิต คนทั้งสองได้เดินทางไป Venice, Holland และ London หลายครั้ง จนในที่สุดได้ตัดสินใจซื้อบ้านในปี 2433 ที่ Giverny และได้ขุดสระปลูกบัว พร้อมสร้างสะพานญี่ปุ่น เพราะ Monet ชอบศิลปะของญี่ปุ่นมาก Monet อาศัยอยู่ที่ Giverny จนกระทั่งเสียชีวิต ในปี 2469 ขณะอายุ 86 ปี
ภาพสำคัญๆ ของ Monet ขณะอยู่ที่ Giverny คือ ภาพกองฟางที่วาดในปี 2433 เป็นชุด เพราะแสดงแสง สี ของกองฟางขณะเวลาต่างกัน ในปี 2434 Monet วาดภาพต้น poplar
“พอพพลาบนฝั่งน้ำเอพ” (Pappeln on the Epte) – ค.ศ. 1900, พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์
และเมื่อถึงปี 2436 เขาได้วาดภาพชุดมหาวิหารที่ Rouen ณ เวลาต่างๆ ถึงภาพชุดเหล่านี้จะขายได้ราคาดี แต่ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Monet คือ ภาพบัวในบึงสวนที่ Giverny ซึ่งแสดงให้เห็นแสง สี น้ำ บัว ยามแสงเปลี่ยนในฤดูต่างๆ แสดงการเปลี่ยนแปลงของแสงแดดยามตกกระทบสระ และแสงระยิบระยับที่สะท้อนจากบัว และน้ำ
“บัวน้ำ” (Water Lilies) – ค.ศ. 1916, พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งชาติ, โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น
“สะพานข้ามสระบัว” (Bridge over a Pool of Water Lilies) – ค.ศ. 1899,
พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
การขายภาพบัวในบึง ในปี 2542 ได้ราคาถึง 815 ล้านบาท ในขณะที่เมื่อ 50 ปีก่อน ภาพเดียวกันนี้มีราคาเพียง 1.5 ล้านบาทเท่านั้นเอง
“ตึกรัฐสภาอังกฤษ ลอนดอน” (Houses of Parliament, London) – ค.ศ. 1904,
พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-มอแน, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2547 บริษัท ประมูลภาพ Christie แห่ง New York ได้นำภาพ Londres, le Parliament ที่ Monet วาดจากความทรงจำที่เขามี จากการเยือน London ในปี 2442 – 2444 ซึ่งเป็นภาพของรัฐสภาที่มีหมอกปกคลุมจนมัวสลัว Monet ชอบหมอกมากจนเวลาไม่เห็นหมอกเขารู้สึกใจหาย
ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาพ คือ ไม่มีใครรู้ชัดว่า Monet วาดภาพนี้จากสิ่งที่เห็นจริงๆ หรือเติมไข่ ใส่สี หลังจากที่ได้เดินทางกลับถึง Giverny แล้ว
มาบัดนี้ Jacob Baker และ John Thornes แห่งมหาวิทยาลัย Birmingham ในอังกฤษ ได้ศึกษาภาพที่ Monet วาด โดยวิเคราะห์ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในภาพแล้วใช้ข้อมูลของ US Naval Observatory ที่ Washington
ประกอบข้อมูลที่ปรากฏในจดหมายที่ Monet เขียนถึงภรรยาทำให้รู้ชัดว่า สิ่งที่ Monet วาด คือ สิ่งที่เขาเห็นจริงๆ ภาพหมอกนั้นก็เป็นสภาพจริงเช่นกันเพราะขณะนั้น London คือ เมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลกที่มีมลพิษมากและหมอกลอนดอนนี้เองที่ทำให้คนมีสุขภาพไม่ดี เรียกว่าเค้าเขียนทุกอย่างจากประสพการณ์จริงจากสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นได้จริง