คอศิลปะห้ามพลาดกับ Marina Abramovic เจ้าแม่แห่งวงการเพอร์ฟอร์มระดับโลกใน Bangkok Art Biennale 2018
“ฉันเคยกลัวเลือดอย่างมาก ตอนเด็กฉันเคยสูญเสียฟันและเลือดออกไม่น้อยกว่าสามเดือน ฉันต้องนั่งตัวตรงเพื่อไม่ให้สำลักเลือดของตัวเอง เมื่อภาวะนี้หายไปตอนอายุ 17 สิ่งเหล่านี้ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงและศิลปะบนร่างกายของฉัน….. จากนั้น….มีดโกนก็กลายเป็นเครื่องมือในการวาดภาพบนร่างกายและเลือดคือสี การเฉือนผิวพรรณกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ฉันต้องเผชิญกับความกลัวทั้งหมดของฉัน สิ่งนี้คือความกล้าหาญและหนทางเดียวที่เราจะเอาชีวิตรอดในสังคมนี้ ตัวอย่างนี้มาจากพ่อแม่ของฉันซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาติ ฉันจึงมีความมุ่งมั่นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทุกครั้งที่ทำงาน ฉันจะใช้มันเป็นเครื่องมือในการรับมือกับอารมณ์ของตัวเองเพื่อแสดงความรู้สึกผ่านสิ่งต่างๆที่ฉันกลัว การทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้ชมทำให้ได้รับรางวัลอย่างไม่น่าเชื่อว่าฉันจะอยากกลับไปที่สื่ออื่นๆอีก เช่นการวาดภาพ หรือประติมากรรม เพราะประสิทธิภาพที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการสื่อสารกับผู้คน”
Marina Abramovic เกิด 30 พฤศจิกายน 1946 ชาวเซอร์เบีย เกิดในเบลเกรด ยูโกสลาเวีย ( ในขณะนั้น ) เป็นลูกสาวของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แต่ได้รับการเลี้ยงดูจากยายผู้เคร่งศาสนา การถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดแบบทหารกับความศรัทธาในคริสตจักรออร์โธด็อกซ์เซอร์เบีย ( ครอบคลุมอาณาเขตยุโรปตะวันออก ) กลายเป็นความขัดแย้ง เพราะยายของเธอเกลียดคอมมิวนิสต์ และลุงของเธอคือสังฆราช เธอจะตื่นขึ้น จากนั้นก็ทำกาแฟตุรกี แล้วไปโบสถ์ กลิ่นกาแฟ กลิ่นเทียนในโบสถ์ พิธีกรรม สวดมนต์ตอนกลางคืน คือสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิต ยายของเธอเคยทำพิธีล้างบาปให้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดกฏหมายอย่างมาก และมันทำให้พ่อกับแม่ของเธอถูกวิจารณ์อย่างหนัก Marina บอกว่า แม่ของเธอคือ”ชนชั้นนายทุน”ผู้ร่ำรวยซึ่งชื่นชอบวรรณคดีฝรั่งเศส ทำให้เธอต้องเรียนภาษาฝรั่งเศส และระหว่างที่แม่ของเธอเรียนที่สวิส ก็เริ่มอ่านหนังสือคอมมิวนิสต์ ส่วนพ่อคือ”คอมมิวนิสต์ตัวจริง”พ่อรู้เรื่องของเลนิน-สตาลิน ทั้งลัทธิจิตวิญญาณของฝรั่งเศส กับอีกด้านหนึ่งคือจิตวิญาณแห่งเซอร์เบีย กับรัสเซีย จึงได้หล่อหลอมและทำให้ Marina เชื่อว่ามันกลายเป็นส่วนผสมที่แข็งแกร่ง ลงตัวและเกิดพลังแรงกล้าให้กับตัวเธอ
“ถ้าคุณทำอะไรหนึ่งถึงสองชั่วโมง มันคงเป็นผลงาน แต่ถ้าคุณทำอะไรที่กินเวลาสองหรือสามเดือน มันจะกลายเป็นชีวิต”
ผลงานของ Marina คือการสืบค้นเข้าไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงและผู้ชม มันวางอยู่บนเงื่อนไขของการท้าทายขีดจำกัดของร่างกาย ความรู้สึกลึกๆเกี่ยวกับจิตใจ ความรัก ความสูญเสีย การเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า หรือแม้แต่เรื่องราวของเพศสภาพ ความเป็นศิลปะ และสังคมการเมือง เธอบอกว่า”เมื่อคุณเข้าสู่สถานะของการปฏิบัติงานแล้ว คุณสามารถผลักดันร่างกายของคุณให้ทำในสิ่งที่คุณไม่สามารถทำตามปกติได้”
ผลงานของเธอมีตั้งแต่การใช้มีด 20 เล่มและการปักไป-มาลงบนพื้นระหว่างนิ้วทั้งห้าที่กางออก ถ้ามีดโดนนิ้วจนถึงเลือดเธอจะเปลี่ยนมีดใหม่ ระหว่างนั้นก็บันทึกเสียงมีดที่ปักลงไป หลังจากครบทั้ง 20 เล่มเธอจะเริ่มใหม่อีกครั้งให้จังหวะในเทปและการปักครั้งใหม่เป็นไปอย่างพร้อมกัน เสียงของการแทงและความเจ็บปวด อดีตและปัจจุบันที่กำหนดการเคลื่อนไหวร่างกายต้องสอดคล้อง เหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือการเอาชนะเอากลัว เธอเคยเปลือยกายเต้นรำนับสิบๆชั่วโมงอย่างต่อเนื่องจนหมดสติในผลงานชิ้นหนึ่ง หรือเคยนั่งขัดกระดูกวัวนับพันๆชิ้นกว่าสี่วันๆละหกชั่วโมงพร้อมๆกับร้องเพลงพื้นเมืองของยูโกสลาเวียเพื่อสื่อถึงสงครามล้างเผ่าพันธ์แห่งคาบสมุทรบอลข่าน
เธอเคยท้าทายผู้ชมงานด้วยการวางวัตถุต่างๆให้ผู้ชมได้หยิบสิ่งเหล่านี้นำมาทำอะไรกับตัวเธอก็ได้ เวลากว่าหกชั่วโมงที่เธอปล่อยให้ผู้ชมควบคุมร่างกายของเธอ มีทั้งการกรีดเสื้อของเธอขาดด้วยมีด และปืนที่บรรจุลูก 1 นัด ซึ่งจ่อมาที่เธอจนผู้ชมคนอื่นต้องยุติการกระทำครั้งนี้ บทพิสูจน์นี้ทำให้เห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจมนุษย์ทั้งความอ่อนแอและก้าวร้าว เธอเคยทำงานร่วมกับคู่รัก Ulay Laysiepen ศิลปินเพอร์ฟอร์มชาวเยอรมัน ทั้งการมัดผมติดกันและนั่งหันหลังชิดกันหลายชั่วโมงเหมือนกับคู่แฝดที่หัวติดกัน การง้างคันธนูร่วมกันโดยให้ลูกศรเล็งไปที่หัวใจของ Marina พร้อมๆกับฟังเสียงหัวใจเต้น การเปลือยกายของทั้งคู่ในที่แคบให้ผู้ชมเบียดแทรกร่างของพวกเขา ทั้งคู่เคยส่งลมหายใจเข้าออกด้วยการจูบปากกันเท่าที่ออกซิเจนมีอยู่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็หมดสติเพราะปอดเต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซค์ หรือการยุติความรักบนกำแพงเมืองจีนที่ต่างฝ่ายต่างเดินเท้าจากคนละฝั่งเพื่อมาบอกลากันตรงกลางด้วยระยะทางกว่าสองพันกิโลเมตร ในผลงานชิ้นที่โด่งดังอีกชิ้น Marina เปิดโอกาสให้ผู้ชมมานั่งมองหน้าของเธอ หลายต่อหลายชั่วโมงโดยที่เธอไม่หยุดพัก ผู้ชมสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามา สายตาที่เรียบเฉยและมั่นคงของเธอก็พ่ายแพ้แก่จิตใจจนร้องไห้ เมื่อ Uray ปรากฏตัวมานั่งเผชิญหน้า
เจ้าแม่ แห่งวงการเพอร์ฟอร์มยังเคยทำงานร่วมกับเหล่าคนดังอย่าง James Franco , Lady Gaga, Jay-Z อีกด้วย ถ้าจะมองย้อนกลับ อิทธิพลของขบวนการ Fluxus แห่งยุค 60โดยผู้นำอย่าง Joseph Beuys ปรากฏชัดในงานของเธอ ผ่านหลักการของการผสมผสานชีวิตจริงกับงานศิลปะเพื่อจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่ธรรมดาและให้ความสำคัญกับการไม่คำนึงถึงกฏเกณฑ์ทางสุนทรียศาสตร์ในแบบ Modernism มันคือความก้าวหน้าในยุคนั้นที่กลุ่มศิลปินปฏิเสธทุกกฏเกณฑ์ สรรหาประสบการณ์ใหม่ของสื่อศิลปะ สร้างปฏิกิริยาให้ผู้ชมเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งสำนึกทางสังคม เทคโนโลยี จิตใจ ศิลปะในมูฟเมนท์นี้ไม่ใช่เพียงวัตถุที่มีไว้จ้องมองและมีคุณค่าแก่การสะสมเท่านั้น แต่มันกลายเป็นกิจกรรม เป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวทางสังคมและปลุกเร้าผู้ชมไปสู่สิ่งที่ศิลปะไม่เคยให้มาก่อน แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ Marina ทำ มันไปไกลกว่าขบวนการ Fluxus มากนัก หนึ่งในนั้นเพราะการเปิดให้ผู้ชมเข้ามามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่แค่ภายใต้เงื่อนไขที่ศิลปินวางโจทย์แต่ไกลไปถึงผู้ชมสามารถสร้างโจทย์ใหม่ให้กับงานเลยทีเดียว
Marina Abramovic ในวัย 70 ต้นๆเป็นหนึ่งในศิลปินที่จะมาร่วมงาน Bangkok Art Biennale 2018 นี้ที่กรุงเทพ นอกจากเธอจะส่งผลงานมาร่วมแสดง และตัวเธอจะเดินทางมาด้วยแล้ว เธอยังเปิดโครงการให้ผู้สนใจมาร่วมกิจกรรม The Abramovic Method นานกว่า 3 สัปดาห์ ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน สเปคของผู้เข้าร่วม ถ้าเข้าใจเรื่องการแสดง การทำสมาธิ โยคะ เต้น สรีระวิทยา อาจได้ประสบการณ์ใหม่ในวิถีแบบ Marina ซึ่งไม่มีเรื่องความเจ็บปวดแก่ร่างกายแบบถึงเลือดถึงเนื้อแน่ๆครับ ติดตามรายละเอียดการสมัครได้ที่เพจ Bangkok Art Biennale
ขอบคุณบทความจาก ผศ.วุฒิกร คงคา